Beers ...... ใครจะไปรู้ได้ว่า เจ้า โจ๊กหนึ่งชาม ที่ใกล้จะเน่าบูด จะทำให้เกิดเครื่องดื่มที่ ผู้คนทั่วโลกคลั่งไคล่ดื่มกัน จะเป็นจุดเริ่มต้นของเบียร์ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ชนิดแรกสุดบนโลก เกิดขึ้นมานานกว่า 6,000 ปีแล้ว ในบาบิโลน แห่งเปอร์เซีย ตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล จะบูชาเทพเจ้าด้วยเบียร์ ว่ากันว่าเดิมถูกคิดค้นขึ้นโดยชาวสุเมเรียน
จุดเริ่มต้นของเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เกิดขึ้นมานานกว่า 6,000 ปีแล้ว และ "Beer" เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ชนิดแรกของโลก ในสมัย 3,000 ปีก่อนคริสตกาล ชาวเซมิติกในเปอร์เซียเรียนรู้การทำเบียร์ มีการบันทึกไว้ด้วยการแกะสลักวิธีการทำเบียร์บนกระดาน เพื่ออุทิศให้กับเทพีแห่งการทำฟาร์ม ในสมัย 2,800 ปีก่อนคริสตกาล ยุคเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) มีบันทึกเกี่ยวกับการแบ่งปันเบียร์ และขนมปังให้กับทาสที่ใช้แรงงานในยุคสมัยนั้น แต่เบียร์ในยุคนั้นอาจจะยังไม่มีฟองมากเท่าในปัจจุบัน ในสมัย 2,225 ก่อนคริสตกาล เบียร์ได้รับความนิยมในหมู่ชาวบาบิโลน ในเวลานั้นชาวอียิปต์โบราณและชาวบาบิโลน ให้คุณค่าของเบียร์ เหมือนดั่ง "ยา" ที่เทพเจ้าประทานมาให้ ชาวกรีกเอง ก็ชอบดื่มเบียร์ด้วยและพวกเขาเรียนรู้วิธีทำเบียร์จากชาวอียิปต์
ส่วนการทำเบียร์ และบริโภคเบียร์ในสมัยนั้นพบว่า ในบริเวณใกล้เคียงกัน คือ บาบิโลเนีย (Babylonia) 2,000 ปีก่อนคริสตกาล ตามข้อบัญญัติที่บังคับใช้ของกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) ช่วง 1,728-1,686 ปีก่อนคริสตกาล แห่งแคว้นบาบิโลเนีย ได้มีการคิดค้น "เบียร์" ขึ้นมาโดยชาวบาบิโลน (Babylon) นักโบราณคดีได้ค้นพบแผ่นดินเหนียวที่บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับ การใช้ข้าวบาร์เลย์มาทำเครื่องดื่มที่เรียกว่า "เบียร์" เป็นน้ำอมฤต และต่อมาอีก 2,000 ปี ที่อียิปต์ยุคโบราณ ได้ค้นพบพืชชนิดหนึ่งชื่อว่า "ฮ็อพ (Hops)" ที่ถูกผสมลงไปในเบียร์ทำให้มีรสขม กลิ่นหอมชวนดื่ม และยังสามารถเก็บเบียร์ไว้ได้นานขึ้นอีกด้วย แต่กรรมวิธีการผลิตเบียร์ในยุคนี้จะต่างจากปัจจุบัน ด้วยเหตุว่า รสชาติ สี กลิ่นของเบียร์จะขึ้นอยู่กับแหล่งน้ำที่ใช้ในการผลิต และเครื่องปรุงแต่งเป็นสำคัญ ทำให้เกิดความหลากหลาย
โฉมหน้าของกษัตริย์ฮัมมูราบี (Hammurabi) ช่วง 1,728-1,686 ปีก่อนคริสตกาล แห่งดินแดนเมโสโปเตเมีย
สมัยอียิปต์โบราณ มีการทำเบียร์ “Beer” จากข้าวบาร์เลย์โดยนำเมล็ดข้าว (Grain) มาเพาะให้รากงอก และอบแห้ง แล้วบดให้ละเอียดแบบหยาบๆ ใส่ในถังผสมกับดอกฮ็อพ (Hops) แล้วเติมน้ำลงไปผสมหมักกับยีสต์ ที่เป็นเชื้อรา ส่าเหล้า ที่ได้จากแป้งที่ทำขนมปัง ทิ้งไว้ข้ามคืน อากาศที่ร้อนในอียิปต์ทำให้เกิดกระบวนที่เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล และเกิดแอลกอฮอล์มีการตกตะกอนจากนั้นจะกรองเอาแต่น้ำมาดื่ม โดยใช้กรรมวิธีการหมักคล้ายกับการทำไวน์ การดื่มเบียร์ของชาวอียิปต์ในยุคนั้นถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง และในยุคที่อียิปต์เจริญรุ่งเรืองนั้น เบียร์ได้ถูกจัดเป็นเครื่องดื่มประจำชาติ ที่มีการดื่มกันเป็นประจำคู่กับอาหารประจำวัน แม้แต่เด็กเล็กยังต้องดื่มเบียร์แทนน้ำเป็นประจำเลย และเบียร์ยังเป็นค่าแรงงาน สำหรับการก่อสร้างพีระมิดด้วย
หลักฐานการทำเบียร์ในอียิปต์โบราณ ใช้ข้าวบาร์เล่ย์หมักผสมน้ำ และยีตส์
Beer เบียร์ ความนุ่มนวลบนฟอง บ้างก็เชื่อกันว่าเบียร์มีมาเกือบ 6,000-7,000 ปีมาแล้ว โดยชาวบาบีโลนเป็นชาติแรกที่คิดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ขึ้นมาที่ต่อมาถูก เรียกว่าเบียรไว้สำหรับสังเวยเทพเจ้าของเขาชาวบาบีโลนนิยมดื่มเบียร์กันทั้งบ้านทั้งเมืองโดยมีร้านขายเบียร์ผุดขึ้นมาทั่ว ราชอาณาจักรราวกับดอกเห็ดซึ่งแหล่งขายเบียร์ในยุคนั้นเรียกว่า "Bit Sikari" ผู้บันทึกไว้ว่าชาวอียิปต์รู้จักทำเบียร์ทีหลังกว่า ชาวบาบิโลนแต่อียิปต์ก็เป็นชาติที่เก่าแก่ที่คิดค้นเบียร์ได้เอง ประวัติศาสตร์ของเบียร์ยุคใหม่เริ่มที่ประเทศเยอรมันเจ้าตำรับแห่งเบียร์ โดยชาวเยอรมันโบราณได้เป็นผู้คิดค้นทำเบียร์ขึ้นในแคว้นบาวาเรีย โดยไม่ได้ลอกเลียนแบบการทำเบียร์จากชาติใด ๆ เครื่องดื่มที่มีฟองชนิดนี้ชาวเยอรมันทำจากข้าวมอล์ท ยุคนั้นเรียกว่า "Peor" หรือ "Bior จนเพี้ยนมาเป็นคำว่า "Beer" ในเนเธอร์แลนด์ เรียกว่า "Bill" ในสหราชอาณาจักร เรียกว่า "Beer" ส่วนในฝรั่งเศส เรียกว่า "Biere" ในอิตาลี เรียกว่า "Birre" ส่วนใหญ่ของผู้ทำเบียร์ในยุคนั้นได้แก่พระ ที่ต้องการชักจูงให้ผู้คนนับถือศาสนาคริสต์ โดยเอาเบียร์เป็นเครื่องล่อ เบียร์คือสุราชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในประเภทสุราแช่ (คือสุราที่ยังไม่ได้กลั่น) เบียร์แต่ละยุคในสมัยโบราณมีวัตถุดิบและกรรมวิธีได้หลายอย่าง ได้แก่ พวกธัญญาพืชนานาพันธุ์ และผลไม้ต่าง ๆ ที่เลือกใช้
ลักษณะการดื่มกินเบียร์ในอียิปต์โบราณ จะใส่ในไหดินเผา ใช้หลอดจากต้นกกดูดกิน
ในช่วง 5,000 ปีก่อน เริ่มจากอียิปต์ ที่ใช้เบียร์เพื่อเป็นค่าตอบแทน หรือรางวัล สำหรับการทำงานก่อสร้างพีระมิด จนกระทั่งการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้เผยแพร่ไปยังภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นจีน , อินเดีย , เปอร์เซีย , กรีก-โรมัน ตามบันทึกของชาวโรมัน เบียร์ ถือเป็นเครื่องดื่มที่ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ โดยเฉพาะในยุโรปด้วยกัน พวกนักบวช ในคริสตจักร ก็ใช้เบียร์เพื่องานพิธีกรรม เช่นกัน หรือแม้แต่พวกอินเดียนแดงในอเมริกาก่อนที่โคลัมบัสจะค้นพบทวีปอเมริกาก็มีการทำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ดื่มกินกัน เป็นเครื่องดื่มที่หมักมาจากข้าวโพดหมักทำเป็นส่าเหล้า
ในทวีปยุโรป เบียร์ถือเป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันมากสุดที่เยอรมัน ถือได้ว่าชาวเยอรมันเป็นชนชาติแรกที่ผลิตเบียร์ขึ้นมาในยุโรป และเรียกชื่อว่า "บิเออร์" (Bior) รสเปรี้ยวอมหวาน ซึ่งในยุคแรกผลิตเบียร์เพื่อดื่มกินกันภายในครอบครัวเท่านั้น โดยผู้หญิงจะมีหน้าที่ผลิตเบียร์ ด้วยวิธีง่ายๆ หลังจากนั้นต่อมาการผลิตเบียร์ได้เข้ามามีบทบาทในคริสตจักร เพื่อใช้ในการประกอบพิธีกรรม และแจกจ่ายให้กับผู้คนที่เข้ามาร่วมงานทางศาสนา และนักโบราณคดียังพบว่า เมื่อนำกากแห้งที่ติดอยู่ที่ภาชนะดินเผา ที่ขุดพบในซากเมืองโบราณ มาวิเคราะห์ดูพบว่า มันคือคราบเบียร์ที่มีดีกรีสูง ผลิตจากข้าวสาลีผสมน้ำผึ้ง เรียกกันว่า "อโล" (Alo) ปัจจุบันเรียกเพี้ยนมาเป็น "เอล" (Ale)
การกลั่นเบียร์ยุคแรก ในเยอรมัน
ในช่วงศตวรรษที่ 15 พบว่า วัตถุดิบสำคัญที่ใช้ผลิตเบียร์ เริ่มมีปริมาณลดน้อยลง เนื่องจากผลกระทบจากสภาพธรรมชาติทำให้การเก็บเกี่ยวข้าวบาร์เลย์ และดอกฮ็อพได้น้อย จึงเริ่มมีการใช้ธัญญาพืชชนิดอื่นมาแทน จนมาในปี ค.ศ.1516 แกรนด์ดุ๊กแห่งบาวาเรีย William IV มีการตั้งกฎบัญญัติแห่งความบริสุทธิ์ (Purity Law) ขึ้นในประเทศเยอรมัน เพื่อกำหนดให้ผู้ผลิตเบียร์ ต้องใช้เฉพาะวัตถุดิบจาก ข้าวสาลีมอล์ต ดอกฮ็อพ และน้ำ เท่านั้น จัดเป็นกฎหมายอาหารที่เก่าแก่ที่สุด สำหรับผลิตเบียร์ เพื่อรักษามาตรฐาน และคุณภาพ รวมขึ้นควบคุมราคาด้วย และหลักการนี้ยังใช้จนถึงทุกวันนี้ กฎดังกล่าวนี้ มิได้กำหนดบังคับใช้ในประเทศอื่นด้วย ดังนั้นจึงอาจจะมีการนำเอาข้าวเจ้า ข้าวโพด มัน หรือน้ำตาลมาใช้เป็นส่วนผสมปนกับข้าวมอล์ตด้วย ในการผลิตเบียร์
ในศตวรรษที่ 19 เมื่อมีตู้แช่แข็ง เบียร์ถูกเก็บในอุณหภูมิต่ำ จึงเกิดเป็นฟองเบียร์
ส่วนในบ้านเรา เบียร์นำเข้าครั้งแรก ตั้งแต่ปี ค.ศ.1687 (พ.ศ.2230 สมัยอยุธยา) จนมาในสมัยรัชกาลที่ 7 มีการขอตั้งโรงเบียร์ในเชิงอุตสาหกรรมขึ้น เมื่อปี ค.ศ.1930 (ประมาณวันที่ 12 มกราคม พ.ศ.2473) พระยาภิรมย์ภักดี (บุญรอด เศรษฐบุตร) ยื่นเรื่องขออนุญาตผลิตเบียร์ต่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ ที่มีพระยาโกมารกุลมนตรี เป็นเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติอยู่ในขณะนั้น พร้อมทั้งทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตโดยเห็นว่า "เบียร์เป็นสินค้าที่ชาวชาติได้ส่งเข้ามาจำหน่ายในสยามประเทศมาช้านานแล้ว ทำให้เม็ดเงินไหลออกนอกประเทศเป็นอย่างมาก ถ้าเราสามารถผลิตเบียร์ขึ้นได้เองก็จะป้องกันเงินที่สูญเสียไป และประหยัด รวมทั้งจะได้ประโยชน์ในเรื่องราคาขาย ที่ถูกลง และการผลิตเบียร์ยังสามารถใช้ปลายข้าวมาแทนข้าวมอล์ต ช่วยให้คนไทยมีงานทำด้วย" ความคิดดังกล่าวนี้เองพระยาภิรมย์ภักดี จึงขอตั้งโรงกลั่นเบียร์ขึ้น ที่ปัจจุบันเรารู้จักกันในนาม "เบียร์สิงห์" (Singha Beer)
พระ
เดิมทีพระยาภิรมย์ภักดี ทำกิจการเดินเรือเมล์ระหว่างตลาดพลูกับท่าเรือราชวงศ์ โดยใช้ชื่อว่า บริษัทบางหลวง จำกัด ต่อมาทางรัฐบาลเริ่มโครงการสร้างสะพานพระพุทธยอดฟ้า และตัดถนนเชื่อมตลาดพลู กับประตูน้ำภาษีเจริญ ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับที่บริษัทบางหลวงทำกิจการเดินเรืออยู่ ทำให้ไม่สามารถเดินเรือได้ต่อ จึงเริ่มมีการเปลี่ยนกิจการ โดยหันไปทำการค้าอย่างอื่นแทน ซึ่งก็คือธุรกิจการผลิตเบียร์ และการศึกษาแล้ว พบว่าเบียร์สามารถผลิตขึ้นเองในประเทศไทยที่อยู่ในเขตร้อนได้ จึงเริ่มโครงการตั้งโรงงานผลิตเบียร์ขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
เมื่อยื่นเรื่องขออนุญาตต่อกระทรวงพระคลังมหาสมบัติแล้ว มีการพิจารณากันอย่างมาก เนื่องจากในยุคนั้นยังไม่มีนโยบายเรื่องนี้มาก่อน โดยเฉพาะเรื่องการพิจารณาเรียกเก็บภาษีเบียร์ ซึ่งในครั้งแรกจะกำหนดให้เสียภาษีลิตรละ 63 สตางค์ ในระหว่างที่รอการอนุญาต พระยาภิรมย์ภักดีได้เดินทางไปเมืองไซ่ง่อน ประเทศอินโดจีน (เวียดนาม) ในปีพ.ศ.2474 เพื่อศึกษาแบบแปลนเครื่องจักร ตลอดจนวิธีการผลิตเบียร์ หลังจากมีการพิจารณาอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเบียร์ได้ และเรียกเก็บภาษีเบียร์ผ่านไปได้ 1 ปี จึงอนุญาตให้พระยาภิรมย์ภักดีผลิตเบียร์ได้ แต่ห้ามผูกขาด และคิดภาษีเบียร์ในปีแรก ลิตรละ 1 สตางค์ ในปีที่สองลิตรละ 3 สตางค์ ปีที่สามลิตรละ 5 สตางค์ ส่วนปีต่อๆ ให้พิจารณาตามที่เห็นสมควร ต่อมาช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2475 กระทรวงมุรธาธร โดยพระองค์เจ้าศุภโยคเกษม ได้มีหนังสือกราบบังคมทูลละอองธุลีพระบาท ความว่า ได้รับรายงานจากกรมสรรพสามิตว่า นายลัก และนายเปกคัง ชาวจีน ได้ยื่นเรื่องขออนุญาตผลิตเบียร์ (ยี่ห้อทีเคียว) ขึ้นจำหน่ายในประเทศ โดยรับรองว่า จะผลิตเบียร์ชนิดเดียวกับเบียร์จากต่างประเทศ ที่ทำจากดอกฮ็อพ และมอลต์ โดยขอผลิตประมาณ 10,000 เฮกโตลิตรต่อปี พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 จึงทรงมีพระราชกระแสว่า "เป็นเรื่องแย่งกับพระยาภิรมย์ภักดี และถ้าให้ทำก็คงทำสำเร็จก่อนพระยาภิรมย์ภักดีแน่ เพราะฉะนั้นคนที่เริ่มคิดก่อน และเป็นพ่อค้าคนไทยกลับจะต้องฉิบหาย และทำไม่สำเร็จ" จึงทรงเห็นว่าไม่ควรอนุญาต
"พระยาภิรมย์ภักดีขอทำก่อน ได้รับอนุญาตแล้ว ในเวลานี้ยังไม่ควรอนุญาตให้ใครได้ทำอีก เพราะจะมีผล 2 ประการ คือ หนึ่งคนไทยกินเบียร์กันท้องแตกตายหมดเพราะจะแย่งกันขายลดราคา เกิดการแข่งขันกัน และสองคงมีใครฉิบหายคนหนึ่ง ถ้าหากไม่ฉิบหายกันหลายคน" สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ได้กราบบังคมทูลสนับสนุนว่า "ไม่ควรอนุญาตให้ผลิตในเวลานี้ ควรรอดูว่า พระยาภิรมย์ภักดีจะทำสำเร็จหรือไม่ และคอยสังเกตเรื่องการบริโภคก่อน นอกจากนั้นผู้ขออนุญาตรายนี้เป็นคนต่างด้าว จึงสามารถที่จะอ้างได้ว่า ต้องอุดหนุนคนไทยและอุตสาหกรรมที่มีทุนไทยก่อน" ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลังตอบว่า" ยังไม่อนุญาตให้ เพราะได้อนุญาตให้ไปรายหนึ่งแล้ว ต้องรอดูก่อนว่าจะได้ผลอย่างไร เพราะเรื่องนี้สำคัญสำหรับความสุขของราษฎร์ และฝ่ายพระยาภิรมย์ภักดีจะใช้ข้าว และผลพลอยได้ของข้าว ด้วยฝ่ายรายที่ขออนุญาตใหม่ไม่ใช้ข้าวเลย"
โรงงานผลิตเบียร์ตราสิงห์ ที่บางกระบือ
เมื่อได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานผลิตเบียร์แล้ว เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.2476 พระยาภิรมย์ภักดีจึงเดินทางไปยุโรปเพื่อซื้อเครื่องจักรในการผลิตเบียร์ แต่เมื่อกลับมาเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ โดยมีพระยามโนปกรณ์นิติธาดาเป็นหัวหน้ารัฐบาล ทางรัฐบาลไทยไม่ยอมให้เสียภาษีตามพิกัดเดิมที่ตกลงกันไว้กับรัฐบาลเก่า จึงเกิดข้อข้อตกลงกันใหม่ โดยให้เสียภาษีในอัตราลิตรละ 10 สตางค์ หลังจากนั้นจึงได้เริ่มสร้างโรงงานผลิตเบียร์ขึ้น ที่บริเวณที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านบางกระบือ (ที่ตั้งโรงงานในปัจจุบัน) โดยขอเช่าที่จากเจ้าพระยารามราฆพ ต่อมาภายหลังได้ขอซื้อดินที่ดังกล่าวมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโดรงงาน ขณะทำการก่อสร้างนั้นพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาเสด็จฯ มาชมการก่อสร้างโรงงานถึงสองครั้ง พระยาภิรมย์ภักดีตั้งใจว่า จะตั้งชื่อบริษัทขณะที่จัดรูปแบบของบริษัทอยู่นั้นว่าบริษัทเบียร์สยาม แต่ถูกทักท้วงว่า "ในบ้านเมืองนี้ อะไรๆ ก็ใช้ชื่อสยามกันทั้งนั้น" พระยาภรมย์ภักดีจึงตัดสินใจเอาชื่อของตนเองมาตั้งเป็นชื่อบริษัท นั่นก็คือ "บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด" เบียร์ของคนไทย ที่ผลิตออกมาครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2477 โดยได้ทดลองนำไปดื่มกันในงานสโมสรคณะราษฎร์เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ.2477 และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ทรงเปิดป้ายบริษัทเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ.2477 เบียร์รุ่นแรกที่ผลิตออกมาวางจำหน่ายในราคาขวดละ 32 สตางค์ (ประมาณ บาท) โลโก้บนฉลากขวดเบียร์มีวิวัฒนาการตามนี้ โลโก้ตราหมี ตามด้วยโลโก้ตราสิงห์แดง ตราสิงห์ขาว ตราแหม่ม ตราพระปรางค์ทอง ตราว่าวปักเป้า ตรากุญแจ ตรารถไฟ และโกโก้ในปัจจุบันก็คือ โลโก้ตราสิงห์ ในสมัยนั้นไม่ว่าจะใช้โลโก้ตราอะไรก็ตาม ชาวบ้านมักเรียกติดปากกันว่า "เบียร์เจ้าคุณ"
ต่อมาในปี พ.ศ.2504 เกิดโรงเบียร์แห่งที่สองขึ้น ในชื่อ "บริษัทบางกอกเบียร์ จำกัด" ผลิตเบียร์ยี่ห้อตราหนุมาน ตราแผนที่ และตรากระทิง แต่ไม่ได้รับความนิยมจากผู้ดื่ม จนต้องเลิกกิจการไป ภายหลังต่อมาในปี พ.ศ.2509 จึงเปลี่ยนเจ้าของกิจการ เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "บริษัทไทยอมฤต บริวเวอรี่ จำกัด" ผลิตเบียร์ยี่ห้ออมฤต และซื้อลิขสิทธิ์ยี่ห้อเบียร์จากต่างประเทศมาด้วย คือ เบียร์คลอสเตอร์ มาผลิตเองเมื่อปี พ.ศ.2521 ปัจจุบันมียี่ห้อ เอ็นบี และรับผลิตเบียร์บัดไวเซอร์ ลิขสิทธิ์จากสหรัฐอเมริกา ตั้งโรงงานอยู่ที่จังหวัดปทุมธานี แต่ ณ ปัจจุบันถูกซื้อกิจการไปแล้วโดย นายซาน มิเกล ชาวฟิลิปปินส์ เมื่อปี พ.ศ.2547
หลังจากนั้นภาครัฐก็ไม่ได้มีการสนับสนุนให้มีการตั้งโรงงานผลิตเบียร์เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเห็นว่า เบียร์เป็นสินค้าฟุ่มเฟือย จึงตั้งกำแพงภาษีเพื่อให้ความคุ้มครองกับผู้ผลิตในประเทศ จนกระทั่งปี พ.ศ.2535 ภาครัฐมีนโยบายเปิดเสรีทางการค้า โดยเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขของผู้ผลิตเบียร์ จากที่กำหนดว่า ให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย หรือเป็นนิติบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น เพื่อจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติ ที่สนใจเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิตเบียร์ภายในประเทศ เมื่อปี พ.ศ.2534 เกิด "บริษัท เบียร์ไทย (1991) จำกัด" ผู้ผลิตเบียร์ช้าง ของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ตั้งโรงงานอยู่ที่จังหวัดกำแพงเพชร และต่อมาในปี พ.ศ.2536 เกิด "บริษัท คาร์ลสเบอร์ก บริวเวอรี่ จำกัด" ผลิตเบียร์คาร์ลสเบอร์ก ลิขสิทธิ์จากประเทศเดนมาร์ก โรงงานอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เช่นกัน และสุดท้ายในปี พ.ศ.2538 มี "บริษัท ไทยเอเชีย แปซิฟิค บริวเวอรี่ จำกัด" เป็นผู้ผลิตเบียร์ไฮเนเก้น ลิขสิทธิ์จากประเทศเนเธอร์แลนด์ ตั้งโรงงานอยู่ที่จังหวัดนนทบุรี
ที่มาภาพจาก www.rhanthai.com
ในปี ค.ศ.1900 ช่างเทคนิคชาวรัสเซียได้ก่อตั้งโรงงานผลิตเบียร์ขึ้นที่ฮาร์บิน ในจีน และชาวจีนก็เริ่มดื่มเบียร์เป็นครั้งแรก ต่อมาในปี ค.ศ.1903 อังกฤษและเยอรมันได้ร่วมทุนกันสร้างโรงเบียร์ Yingde ในจีน จึงเกิดโรงเบียร์ Tsingtao
เบียร์จากจีน ชิงเต่าเบียร์ (Tsingtao Beer) ของเมืองชิงเต่า อยู่ทางตอนใต้ของมณฑลซานตง ทิศทางตะวันออกของประเทศจีน เป็นเบียร์ยี่ห้อเก่าแก่ ผลิตมากว่า 100 ปีแล้ว จุดเริ่มต้นของโรงผลิตเบียร์ยี่ห้อนี้ เกิดเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม ปี ค.ศ.1903 เป็นการร่วมทุนกับพ่อค้าชาวอังกฤษ ใช้ชื่อเริ่มแรกว่า "บริษัท เบียร์เจอมานิสเชส แห่งเมืองซิงเต่า จำกัด (Germanisches)" และใช้เทคโนโลยีในการผลิตแบบเดียวกับเบียร์จากเยอรมัน เมื่อดำเนินกิจการไปได้เพียง 13 ปี เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 โรงผลิตเบียร์แห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนมือไปเป็นของทหารญี่ปุ่นอีก 29 ปี และเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงผลิตเบียร์ไดนิปปอน คอร์เปอเรชั่น (Dainipon)" จนกระทั้งเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ญี่ปุ่นแพ้สงคราม โรงผลิตเบียร์แห่งนี้ ก็ตกอยู่ในมือของพรรคก๊กมินตั๋ง ช่วงนั้นด้วยสถานการณ์ทางการเมืองทำให้การดำเนินกิจการเป็นไปอย่างไม่ราบรื่นนัก จนกระทั่งปี ค.ศ.1949 เมื่อทหารกองทัพปลดปล่อยแห่งพรรคคอมมิวนิสต์มีชัยชนะเหนือพรรคก๊กมินตั๋งในเมืองชิงเต่า ได้เข้ายึดโรงผลิตเบียร์แห่งนี้ และจัดตั้งเป็นรัฐวิสาหกิจอย่างเต็มรูปแบบ ก็ดำเนินกิจการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง มีสถิติว่าในปี ค.ศ.1959 มีศักยภาพในการผลิตทะลุ 10,000 ตัน ต่อมาในปี ค.ศ.1963 ได้รับยกย่องให้เป็นเบียร์แห่งชาติยี่ห้อเดียวภายในประเทศจีน และเมื่อปี ค.ศ.1993 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "บริษัท เบียร์ชิงเต่า จำกัด (Tsingtao)" และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้และฮ่องกงด้วย และเมื่อจีนได้เข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก (WTO) เบียร์ชิงเต่าก็ได้ใช้โอกาสนี้ เป็นพันธมิตรกับ อันเฮาเซอร์ บุช ผู้ผลิตเบียร์ "บัดไวเซอร์" จากสหรัฐอเมริกาด้วย ถือได้ว่าเบียร์ซิงเต่าเป็นต้นแบบของอุตสาหกรรมเบียร์ในประเทศจีนเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
เบียร์จากลาว เบย์ลาว (Beer Lao) เป็นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ที่เป็นที่นิยมดื่มกันมากทั่วโลก โดยเฉพาะคนเยอรมัน ที่มีความเชื่อว่าการดื่มเบียร์นั้น มีความบริสุทธิ์สะอาดว่าการดื่มน้ำเปล่าธรรมดาเสียอีก ดังนั้นเราจะเห็นคนเยอรมันมักจะดื่มเบียร์กันแทนน้ำเลยก็ว่าได้ ปริมาณแอลกอฮอล์ในเบียร์ จะมีอยู่ต่ำมากประมาณ 3.5-6.0 ดีกรี และส่วนใหญ่อายุของเบียร์จะสั้นเก็บได้ไม่นาน โดยเฉพาะเบียร์สด ส่วนวัตถุดิบหลักที่นำมาใช้ผลิตเบียร์ ก็คือข้าวบาร์เล่ย์ เรียกวิธีการผลิตนี้ว่า “Brewing” โดยจะนำข้าวบาร์เล่ย์มาเพาะ และอบแห้งทำเป็น มอลต์เกรน ที่เรียกว่า “Barley Malt Grain” แล้วนำมาผสมกับน้ำ จากนั้นจะปรุงแต่งรสชาดและกลิ่นด้วยดอกฮ็อพ (Hops) ที่ทำให้เกิดรสขม แล้วหมักรวมกับยีสต์ จะได้ของเหลวที่มีแอลกอฮอล์ แล้วมากรอง ก็จะได้เบียร์ ในประเทศเยอรมันเองมีการทำเบียร์ โดยจะใช้ข้าวสาลี “Wheat” มาทำเป็นมอลต์แทน ได้แก่ การทำเบียร์ Weizembier (ไว้-เซ่น-เบียร์) หรือ Wheat Beer